ชื่อเรื่อง : สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ
เรื่อง family วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2550
โรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร
ผู้วิจัย :ว่าที่ร้อยโทบุญส่ง ประดิษฐพจน์
ผู้วิจัย :ว่าที่ร้อยโทบุญส่ง ประดิษฐพจน์
ตำแหน่ง:ครูวิทยฐานะชาญการ
สถานศึกษา:โรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2
ปีที่ทำวิจัย : พ.ศ.2550
สถานศึกษา:โรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 2
ปีที่ทำวิจัย : พ.ศ.2550
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ เรื่อง family วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนพยัคฆภูมิวิทยาคาร ใช้ในการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน
ในห้องปฏิบัติการทางภาษา ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลังการใช้บทเรียนสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ และศึกษาเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 /1 จำนวน 33 คนโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและให้กลุ่มหนึ่งสอนแบบปกติและกลุ่มหนึ่งสอนโดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI
การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ เรื่อง family วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามเจตคติที่มีต่อสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นแบบประมาณค่าในกิจกรรมที่ 1 – 5 และสถิติการทดลองใช้ ค่าเฉลี่ย ( mean)ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( SD ) สถิติทดสอบสมมุติฐานการทดลองระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่ม
1. ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 84.05/81.43 หมายความว่า สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ระหว่างเรียนเฉลี่ยร้อยละ 84.05 และทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนเฉลี่ยร้อยละ 81.43 แสดงว่าสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ซึ่งเป็นไปตามความมุ่งหมายของการวิจัยข้อที่ 1 ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัย สามารถนำไปใช้ในการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก
1.1. สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนเว็บเพจ
เรื่อง family วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ออกแบบตามหลักการทางวิชาการ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้
1.1.1. การออกแบบ
1.1.2. การสร้าง
1.1.3. การประยุกต์ใช้ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบนเว็บเพจ เรื่อง family
วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผ่านการตรวจสอบความสมบูรณ์ถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ
ไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
ครั้งที่ 1 แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วนำข้อบกพร่องมาปรับปรุงบทเรียนจากนั้นนำเอาสื่อไปทดลองใช้
ครั้งที่ 2 แบบกลุ่มเล็ก แล้วนำข้อบกพร่องมาปรับปรุงอีกครั้ง จากนั้นนำเอาสื่อไปทดลองใช้
ครั้งที่ 3 แบบภาคสนาม ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2. ผลการตรวจสอบความแตกต่างระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนทดลองและหลังทดลองปรากฎว่านักเรียนที่เรียนด้วย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนสอดคล้องกับการวิจัย เนื่องจากสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI การพัฒนาการเรียนการ
ที่สร้างขึ้นได้เปลี่ยนเนื้อหาจากตำรามาเป็นสื่อเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย สามารถนำเสนอ เนื้อหาได้
กำหนดให้ตลอดจนประเมินผลการเรียนได้ด้วยตนเอง นักเรียนจะเรียนไปตามความสามารถ
ของแต่ละบุคคล โดยไม่ต้องเร่งหรือรอผู้อื่น รูปแบบของสื่อจะออนไลน์บนเว็บเพจ ทำให้ผู้เรียนไม่จำกัด และสามารถเรียนซ้ำหรือทบทวนบทเรียนได้ถ้ายังไม่เข้าใจ ผู้เรียนจึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น หมายความว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีนั่นเอง
3. เจตคติของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน พบว่าเจตคติ
ของนักเรียนโดยรวม สอดคล้องกับงานวิจัยของ ศิริลักษณ์ ทองบุ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องมาจากสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นสื่อที่มีความปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้มากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ เปิดโอกาสสามารถควบคุมลำดับขั้นการเรียนรู้และอัตราการเรียนตามต้องการทำให้เกิดความรู้สึกลึกซึ้ง กับบทเรียนและตอบสนองความต้องการของผู้เรียนได้อย่างแท้จริงมีการเสริมแรงสม่ำเสมอระหว่างเรียนซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีของสกินเนอร์ที่ว่าการเสริมแรงจะมีทุกครั้งที่ผู้เรียนตอบคำถาม ผู้เรียนจะได้รับผลป้อนกลับมา ตอบถูกหรือผิดในทันทีทันใด ผู้เรียนมีกำลังใจเมื่อตอบถูกและไม่รู้สึกอายเมื่อตอบผิด
ดังนั้นถือได้ว่าสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จริงถ้านำมาเป็นสื่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ จะทำให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ ส่งผลดีต่อการเรียนเป็นรายบุคล เมื่อเทียบกับวิธีการสอนแบบอื่น รวมทั้งส่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้นสามารถให้กับผู้เรียนได้ทุกระดับอายุ และความรู้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ หลักสำคัญอยู่ที่การออกแบบให้เหมาะสมกับผู้เรียนเท่านั้น